Kynard Ralsten
The Prince of Tristor
The Philosopher Citadel, 2nd Year
Event 1.6
การบ้านวิชาพาหนะพระราชา
เอนทรี่นี้มีการกล่าวถึง
ฟาซาล ดิวซ์
The Prince of Tristor
The Philosopher Citadel, 2nd Year
Event 1.6
การบ้านวิชาพาหนะพระราชา
เอนทรี่นี้มีการกล่าวถึง
ฟาซาล ดิวซ์
"Storm"
เด็กชายผมสีดำยุ่งเหยิงวัยสิบเอ็ดปียกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าลวกๆ เมื่อต้องทำงานอยู่ในดงอุจจาระนานๆ กลิ่นเหม็นสาบคละคลุ้งที่เคยทำให้รังเกียจก็ชินจมูกจนไม่เลวร้ายไปกว่าเดิมอีก เขาใช้ไม้กวาดไสกองสีน้ำตาลน่าอุจาดตาบนพื้นไปรวมๆ กันที่มุมหนึ่งของคอก ปล่อยเสียงบ่นกระปอดกระแปดของเพื่อนตนผ่านหูไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
ถ้าเสด็จแม่รู้ว่าเขาออกจากวังเพื่อมาทำงานกวาดขี้ม้าในฟาร์มเก่าๆ สับปะรังเค เจ้าหล่อนคงส่งคนมารับตัวเขากลับวังในวันสองวันนี้
แต่ตอนนี้เขาคือคีนาร์ด แอลลิส ไม่ใช่คีนาร์ด ราล์สเตน… ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องบอกเรื่องนี้กับใคร อีกอย่างตอนที่ขอเสด็จลุงออกมาข้างนอก เขาก็ไม่เคยหวังว่าจะต้องกินอยู่อย่างสบาย
ดวงตาสีฟ้าซีดติดจะเย็นชาของเจ้าตัวไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดใดๆ ที่ต้องทำงานกับของโสมม สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนสักนิดตอนปัดฝูงแมลงวันย่อมๆ ที่บินว่อนข้ามหัวไปมา เด็กชายเคยถูกเจ้าของฟาร์มม้าวิจารณ์กึ่งปรามาสว่าท่าทางเขาดู ‘หยิ่งเกินวัย วอนหาเรื่อง’ เพราะใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกอ่านยากทั้งที่อายุคราวหลาน ผิวขาวซีดเหมือนคนไม่เคยทำงานผิดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน แถมด้วยออร่าที่แผ่จางๆ ออกมาว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่ยอมให้ ‘กด’ ได้ง่ายๆ จนเจ้าของฟาร์มม้าไม่รู้ว่าเขาจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อสักแค่ไหน ที่จริงถ้าเอะใจสักหน่อย คนมองอาจจะเห็นรอยตราปั๊มว่า ‘เลือดสีน้ำเงิน’ แปะหราอยู่บนหน้าผาก
...ถือเป็นเรื่องดีที่คนชนบทห่างไกลแถวนี้ไม่เคยชินกับเชื้อพระวงศ์ปลอมตัว คีนาร์ด แอลลิสจึงเป็นได้แค่เด็กหยิ่งเกินวัยธรรมดาในสายตาคนทำงานฟาร์ม
ไม่รู้ว่าเขาคนนี้ทำให้เจ้านายผิดคาดสักแค่ไหน แต่เกือบปีที่ผ่านมา ถ้ามองข้ามเรื่องหน้าตาไม่รับแขกสักหน่อยแล้วไปตัดสินด้านการใช้ชีวิต คีนาร์ด แอลลิสปรับตัวอยู่กับความไม่สะดวกสบายได้เร็วและง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เด็กชายไม่ใช่คนเกี่ยงงาน ไม่เหยาะแหยะ ไม่บ่น ก้มหน้าก้มตาทำงานห่างไกลกับคำว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออยู่หลายโยชน์
เป็นคีนาร์ดเองที่เลือกเริ่มต้นทำงานที่ฟาร์มม้าห่างไกลแถมค่าตอบแทนน้อยนิด เขาพอใจกับที่ที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือราชนิกูล จะมีก็แต่ผู้ติดตามข้างๆ ที่ได้รับการยกระดับเป็นเพื่อน เควนตัส... รายนั้นเข้ากับคนอื่นได้ดี แต่ต้องมารับเคราะห์ร่วมกับเขาหลายครั้ง เพราะเขามักจะถูกหมั่นไส้ หมอนั่นโดนคำปฏิญาณว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกเจ้าชายค้ำคอ เลยไม่อาจปล่อยให้เขาโดนหมั่นไส้คนเดียว
ช่วยไม่ได้ ก็ตามเขาออกจากวังมาตั้งแต่แรกทำไม
ในเมื่อเจ้านายจะกวาดขี้ม้า ดมขี้ม้า... คนติดตามก็ต้องกวาดขี้ม้า ดมขี้ม้า
“เสียงใครโวยวาย”
เด็กชายคีนาร์ด แอลลิสเปรยถามหลังจากล้างน้ำถูคราบสกปรกและกลิ่นสาบอุจจาระม้าออกจากตัว มือเล็กที่กร้านแดดกว่าเดิมเล็กน้อยคว้าผ้าขนหนูสะอาดเก่าๆ แถวนั้นมาเช็ดหน้า ร่างผอมชะเง้อมองข้ามช่องประตูของห้องน้ำ ท่าทางของเขาทำให้เควนตัสต้องมองตาม
“ลูกค้าจากแอเรียส ที่บอกว่าจะเข้ามาซื้อม้ากับเจ้านายตั้งแต่อาทิตย์ก่อนไงฝ่าบาท”
เควนตัสเล่าขณะปัดปอยผมเปียกๆ สีน้ำตาลไปให้พ้นตา เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคีนาร์ดแต่ตัวเตี้ยและดูมีกล้ามเนื้อกว่า ทั้งที่ออกมาจากวังร่วมปีแล้วแต่ก็ยังเผลอเรียกอีกฝ่ายว่าฝ่าบาทด้วยความเคยชิน “เห็นว่าจะเหมาลูกม้าใหม่ยกคอก แต่ฟังดูจากที่โวยวาย… ท่าจะมีปัญหาซะล่ะมั้ง”
คนเป็นเจ้าชายแสดงสีหน้าครุ่นคิด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่า ‘ไปดูกัน’
ที่กลางฟาร์ม ภาพชายวัยกลางคนผมสีดอกเลากำลังต่อรองยื่นคำขาดฉายชัด
“ถ้าจะซื้อก็ซื้อไปทั้งหมดเลยเจ็ดตัว ผมจะขายตัวนี้ด้วย”
“แต่ฉันไม่ต้องการของมีตำหนิ”
ชายร่างท้วมที่ใส่ชุดผ้าแพรดูมีราคาปฏิเสธด้วยสีหน้ามีอารมณ์ กวาดตาเล็กหยีไปทางคอกลูกม้า สะบัดมือว่าหย็อยๆ “ฉันเป็นคนจ่ายเงิน ฉันต้องได้อย่างที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่ซื้อสักตัว ให้มันรู้ไปว่าฉันจะหาฟาร์มม้าอื่นที่เจ้าของพูดจารู้เรื่องกว่านี้ไม่ได้”
คีนาร์ดที่ยืนกึ่งหลบอยู่หลังกำแพงไม้ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะประมวลถ้อยคำที่ได้ยินจากทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมาเขาในฐานะเด็กใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาดูแลคอกม้าอายุน้อย จึงไม่ทราบเรื่องราวมาก่อน ดวงตาสีจางของเด็กชายมองตามสายตาลูกค้าชาวแอเรียสไป แล้วเขาก็เห็นเจ้าลูกม้าตัวปัญหาที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในทันที
ในขณะที่ม้าสีขาวและเทาปลอดตัวอื่นยื่นหน้ามองชายร่างท้วมพันผ้าแพรสีสดอย่างสนใจ ลูกม้าผอมขี้ก้างตัวหนึ่งกลับกำลังยืนสั่นๆ อยู่ที่ขอบรั้ว ขาเล็กสี่ข้างกางเล็กน้อยคล้ายพยายามทรงตัวแต่ไม่มีแรง มันเดินทุลักทุเลเก้ๆ กังๆ ไม่คล่องแคล่ว สักพักก็เป๋ล้ม กว่าจะยันตัวกลับมายืนได้ก็นานสองนาน แถมลำตัวของมันยังเป็นสีเทาหม่นสลับหย่อมขาวประปราย ดูเปรอะเปื้อนไม่สวยสะอาดตา เทียบกับลูกม้าตัวอื่นที่ก็นับว่าเป็นม้าเกรดบีอยู่แล้วเพราะที่นี่เป็นฟาร์มชนบทขนาดเล็ก ไม่ได้กวดขันเรื่องพันธุ์บริสุทธิ์นัก เจ้าม้าตัวนี้ก็คงเป็นเกรดดี
เจ้าของฟาร์มคงคิดไม่ต่างจากเขา รู้ว่าถ้าไม่ขายมันไปกับพี่น้องพร้อมกันในตอนนี้คงไม่มีวันขายมันออกอีก เลยยังทู่ซี้ “ผมลดให้คุณครึ่งราคาเลยเอ้า ถ้าไม่อยากเอาไปใช้งาน เอาไปแล่ ใช้เนื้อใช้หนังก็ยังได้”
“หนังลายพร้อยแบบนี้เอาไปขายก็ไม่ได้ราคา แล้วกว่าจะแล่มันได้ ฉันต้องเสียข้าวสุกเลี้ยงมันอีกกี่ปี หา?” ลูกค้าชาวแอเรียสไม่ยอม ดวงตาถลึงอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ฉันซื้อแค่หกตัว ส่วนเจ้านี่ ถ้าคิดว่าแล่ใช้เนื้อใช้หนังได้ก็เก็บไว้ทำเองแล้วกัน”
ประโยคนั้นเป็นจริงจนปฏิเสธยาก เท่าที่ฟังมาแค่เลี้ยงม้าตัวนี้ให้เติบใหญ่ยังไม่รู้จะขาดทุนหรือเปล่าด้วยซ้ำ สุดท้ายชายเจ้าของฟาร์มก็ยอมจำนน รับเงินก้อนพร้อมกับส่งลูกม้าหกตัวขึ้นเกวียนของอีกฝ่ายไป
ดวงตาคู่สีซีดยังมองเจ้าลูกม้าลายพร้อยตัวนั้นอยู่นาน จนเกวียนเล่มนั้นแล่นปุเลงๆ หายลับไปจากสายตา คีนาร์ด แอลลิส เด็กเลี้ยงม้าในวัยสิบเอ็ดปีถึงเดินออกมาจากหลังกำแพง ตรงไปหาเจ้านายคนปัจจุบันของตนอย่างอาจหาญ อะไรบางอย่างทำให้เขาเอ่ยปาก ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเอาความหงุดหงิดไปลงที่เจ้าม้าน้อยเกรดดี
“ฝ่าบาท”
เจ้าชายคีนาร์ด ราล์สเตนแห่งทริสทอร์หันตามเสียงเรียก ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีดึงบังเหียนม้าคู่ใจให้ลดความเร็วจากควบวิ่งเป็นเดินเหยาะๆ มันเดินวนไปมาที่ลานหน้าปราสาทก่อนจะหยุดยืนอย่างสง่า
ใบหน้าที่ไร้อารมณ์เป็นนิจเผยรอยยิ้มหายากเพียงเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปตบแผงคอพาหนะของตนอย่างสนิทสนม แล้วค่อยเหวี่ยงตัวลงมายืนที่พื้น มือกร้านคว้าเอากระต่ายสองสามตัวที่ได้จากการล่าสัตว์ลงมาด้วย
“ฝากที” เขายื่นกระต่ายให้กับคนรับใช้ที่ยืนรออยู่แล้ว ก่อนจะถอดถุงมือมาถือไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ม้าอีกตัวควบตามมาข้างๆ เสียงดังกลั้วหัวเราะประกาศพร้อมกับที่เจ้าตัวกระโดดลงจากหลังม้า
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้สามตัว” เควนตัส ชายร่างหนาใหญ่เจ้าของผมสีน้ำตาลยาวยกกระต่ายโชคร้ายสามตัวขึ้นอวดเหมือนจะเกทับ แววตาขี้เล่นเป็นประกายระริก “ต้องชมม้าของกระหม่อม มันตามกลิ่นกระต่ายได้เก่งอย่าบอกใครเชียว”
“ม้าจมูกไวกับคนจมูกไม่ได้เรื่องอย่างนายก็ฟังดูเข้ากันดี” คนถูกเกทับกล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน และนั่นเรียกเสียงหัวเราะอีกระลอกจากบุรุษร่างใหญ่ได้
มีไม่กี่คนที่กล้าพูดจาเล่นสนุกกับเจ้าชายคีนาร์ดที่แสนจะไม่เป็นมิตร หนึ่งในนั้นคือเควนตัส… คนติดตามเจ้าชายตั้งแต่ออกไปเร่ร่อนใหม่ๆ ควบตำแหน่งเพื่อนซี้ ถึงแม้ว่าหลังจากที่คีนาร์ดผันตัวจากช่างทำอาวุธไปเป็นนักล่าแล้วเขาจะถูกไล่กลับวัง (เรียกให้ถูกคือคีนาร์ดฉวยโอกาสควบม้าหนี ทิ้งเขาไว้กลางทาง) แต่เควนตัสก็สนิทกับเจ้าชายมากพอที่จะไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์เหินห่างไป
เควนตัสจำได้ว่าเขาเคยคิดว่าคีนาร์ดเสพติดความสนุกของโลกภายนอกอย่างที่หาในวังไม่ได้จนจะไม่กลับมาอีกแล้ว พอเห็นประกาศเรียกตัวราชนิกูลกลับวังเมื่อปีก่อนแล้วเพื่อนของเขาปรากฎตัวจึงทั้งโล่งใจทั้งแปลกใจ
อีกอย่างที่ทำให้แปลกใจไม่น้อยไปกว่ากัน คือหลังจากผ่านไปหลายปี เจ้าชายแห่งทริสทอร์คนนี้กลับวังทริสทอร์มาพร้อมกับเจ้าม้าตัวเดิม
...ลูกม้าเกรดดีที่น่าจะถูกเชือดทิ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กเลี้ยงม้าปลอมๆ ในตอนโน้นซื้อเอาไว้
“ว่าไง สตอร์ม”
เควนตัสเอ่ยทักทายพร้อมยื่นมือลูบแผงคอของม้าทรงเจ้าชาย เจ้าลูกม้าในวันนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นม้าสาวท่วงท่าสง่า กล้ามเนื้อสวยหนาใช้ได้ ดูแข็งแรงผิดกับตอนเล็กๆ ที่เห็นว่าแค่จะวิ่งยังลำบาก ถึงมันจะไม่ได้สูงใหญ่แรงเยอะอย่างม้าแข่งแต่ก็นับว่ามาไกลมาก ขนสีเทาสลับขาวที่ดูเปรอะเปื้อนตามตัวถูกคนทั่วไปมองว่าไม่สะสวย ไม่แพงสมฐานะเป็นม้าของเจ้าชาย แต่ดูไปดูมาเขาก็ว่าเป็นศิลปะที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์ดี โดดเด่นอย่างที่เห็นก็รู้ว่าใช่ม้าของคีนาร์ดแน่
เจ้าม้าสาวส่งเสียงพร้อมขยับคอทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง เควนตัสหัวเราะหึแล้วหยิบแครอทจากย่ามออกมาป้อนมัน ขณะที่เจ้าของม้ายืนมองเขาเลี้ยงม้าตนอย่างสงบ
ถ้าไม่ใช่เพราะมีคีนาร์ดเป็นเจ้าของ เขาไม่แน่ใจว่า ‘สตอร์ม’ จะมีวันนี้… เควนตัสนึก
จำได้ว่าวันที่เด็กชายเดินออกไปประกาศกับเจ้าของฟาร์มม้าเก่าๆ ว่าจะซื้อลูกม้าท่าทางขี้โรค พวกเขาถูกหัวเราะเยาะแทบตาย เงินเดือนตอบแทนค่ากวาดคอกและเลี้ยงม้าอันน้อยนิดถูกเจียดจ่ายไปเพราะเจ้าชายของเขาไม่ยอมใช้เงินที่ได้ติดตัวออกมาจากวัง แต่คีนาร์ด แอลลิสทำให้เห็นว่าเขาสามารถฝึกเจ้าม้าสีเทาด่างเหมือนพายุพิโรธตัวนี้ให้ใช้งานได้คุ้มทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไป
เจ้าชายคนที่แสนเย็นชาดูแลม้าของตนตั้งแต่เล็กจนโต หาอาหารแล้วป้อนให้กับมือ กวดขันวินัยการกินการขับถ่าย พาเจ้าสตอร์มวิ่งเช้าวิ่งเย็น เดินทางข้ามประเทศไปทั่วเอเดน เพื่อจะค้นพบว่าที่จริงแล้วสตอร์มไม่ได้พิการหรือมีโรคติดตัวใดๆ เพียงแค่พัฒนาช้ากว่าและต้องการการเอาใจใส่มากกว่าม้าตัวอื่น เควนตัสเคยถามคีนาร์ดว่าที่ซื้อมันมาเป็นเพราะสงสาร ไม่อยากให้มันถูกเชือดทิ้งไปทำพรมเช็ดเท้าใช่หรือไม่ แต่เจ้าชายของเขาปฏิเสธ
‘มีไม่เท่าคนอื่น ก็ต้องฝึกให้มากกว่าคนอื่น’ คีนาร์ดเคยพูดไว้ สีหน้าเฉยชาอ่านยากไม่เคยเปลี่ยน ‘ให้มันได้พิสูจน์ตัวเองก่อน แล้วค่อยตัดสิน’
สตอร์มเป็นม้าที่ดี แถมยังเป็นม้าที่รู้ใจและเข้ากับเจ้านายได้ดีจนน่าแปลก คนรับใช้ที่วังรวมถึงเจ้าหญิงมีอา ราล์สเตนผู้เป็นมารดาเคยเสนอม้าตัวอื่นที่สูงใหญ่กว่า สีสวยสง่ากว่า วิ่งเร็วกว่าให้คีนาร์ด เขาจะได้เอาไปใช้เป็นหน้าเป็นตาแทนเจ้าม้าสาวที่ดูไม่แพงเท่าตัวนี้ แต่ที่ผ่านมาเจ้าชายไม่เคยเลือกม้าตัวไหนมาแทนสตอร์ม เพราะเขาไม่ได้สนใจจะใช้ม้าที่ดีที่สุดเพื่อเอาชนะคนอื่น
สตอร์มเป็นสัญลักษณ์ของความพากเพียรและเอาใจใส่ คือเพื่อนตายในยามยาก คือชัยชนะในตัวเองวันละเล็กวันละน้อยของเด็กชายที่ออกไปเร่ร่อนนอกวังคนนั้น ถึงคีนาร์ดจะไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรู้สึกจนดูเหมือนไม่ได้ผูกพันอะไรมากมาย แต่เควนตัสเข้าใจดี
...นี่คือม้าทรงที่เจ้าชายภูมิใจ
“อย่าให้มันกินแครอทมากนัก ฉันเพิ่งป้อนแครอทไปเมื่อเช้า” คีนาร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ เอื้อมมือจูงสตอร์มเดินกลับเข้าคอกม้าในวังอย่างไม่รีบร้อน ไม่ได้สนใจคนรับใช้ที่เดินถือกระต่ายตามมา “นี่จะเอาเนื้อไปย่างหรือทำสตูว์?”
“แล้วแต่ฝ่าบาทสิ” เควนตัสพูดปนหัวเราะ จูงม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลปลอดของตัวเองเคียงกันไปด้วย “ห้าตัวก็พอกินได้หลายคนอยู่หรอก”
“ฉันไม่ได้จะกินด้วย เควนตัส” เจ้าชายทริสทอร์เอ่ยเรียบๆ เหมือนจะบอกว่าแค่อยากรู้จึงถาม คนฟังทำตาโตใส่ “ฉันแค่อยากพาสตอร์มไปออกกำลังกาย กระต่ายสองตัวนั่นฉันยกให้”
“กระหม่อมผิดหวังนะฝ่าบาท นึกว่าจะมีเพื่อนทานสตูว์อร่อยๆ”
“ยังไม่ชิน?” คีนาร์ด ราล์สเตนเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ว่าคนพูดแค่หยอกเล่นเพราะเควนตัสนั้นยิ้มเผล่ที่ได้กระต่ายอีกสองตัวมาเป็นลาภปาก
“จะชินถ้าฝ่าบาทประทานกระต่ายให้กระหม่อมหลังจากนี้บ่อยๆ” เควนตัสแหย่ ได้ผลตอบรับเป็นการกลอกตาหนึ่งทีจากเจ้าชาย
“ฉันมีงานต้องทำ ไว้วันไหนจะไปล่าสัตว์อีก… เรียกก็แล้วกัน”
“ว้า มาไวไปไวเสียจริง ฝ่าบาท” เควนตัสพูดขณะถอดบังเหียนลงจากตัวม้าไปเก็บ พร้อมๆ กับที่เจ้าชายพาอาชาสาวของตัวเองเข้าคอกหลวง ผู้ดูแลคอกรีบส่งเด็กกุลีกุจอเข้ามาช่วยปลดอุปกรณ์ตามตัวสัตว์พาหนะทั้งสอง กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้เควนตัสอดนึกถึงตอนเร่ร่อนใหม่ๆ ที่ต้องกวาดขี้กวาดเยี่ยวม้าไม่ได้
“คิดถึงช่วงที่ฟาร์มม้านะฝ่าบาท สกปรกดี”
“อืม...” คนถูกชวนคุยทำเสียงในลำคอ ไพล่นึกกลับไปถึงช่วงหกปีก่อน เหลือบมองตาเควนตัสเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร “จะไม่มีภาพแบบนั้นอีก เพราะฉันสอนให้ม้าของฉันขับถ่ายแบบมีมารยาท แต่ถ้านายคิดถึงมากจนอยากทำความสะอาดคอกม้าหลวงเมื่อไหร่ก็ขอให้บอก”
เควนตัสหัวเราะดัง เย้ากวนๆ “ฝ่าบาทกวาดคอกม้าเก่งกว่ากระหม่อม”
“ตอนนี้ฉันไม่นับเป็นคู่แข่งของนายแล้วนี่” คีนาร์ดกระตุกมุมปากขึ้นเหมือนเยาะ พูดอีกก็ถูกอีก… ถึงตอนนี้ใครจะกล้าเรียกใช้เจ้าชายมากวาดขี้ม้า ดมขี้ม้า… ในเมื่อเขาคือคีนาร์ด ราล์สเตน ไม่ใช่คีนาร์ด แอลลิส เด็กเลี้ยงม้าวัยสิบเอ็ดปีอีกต่อไปแล้ว
เควนตัสฟังแล้วก็ไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้
“ฉันไปก่อน ขอบใจที่ชวน”
เอ่ยลาเพียงสั้นๆ แล้วเจ้าชายคีนาร์ดวัยสิบเจ็ดปีก็เอื้อมมือกอดคอม้าทรงของตนหลวมๆ แล้วพึมพำ “ขอบใจ สตอร์ม… ไว้เจอกัน”
“แกไม่มีสิทธิ์มางอนฉัน สตอร์ม”
ภาพคีนาร์ด ราล์สเตนถูกสัตว์พาหนะของตนเองเมินทั้งดูไม่น่าเชื่อ น่าขันและน่าอดสูไปพร้อมๆ กัน ม้าทรงสาวสีเทาเปรอะทำเสียงพ่นลมแล้วหันหน้าหนี มีที่ไหนกันที่เดินเข้าคอกม้าโรงเรียนเอง แถมหันบั้นท้ายใหญ่ใส่เจ้าของ
เจ้าชายคีนาร์ดแห่งทริสทอร์วัยยี่สิบเอ็ดปีไม่เคยชินกับการถูกเมิน ส่วนใหญ่เป็นเขาเองด้วยซ้ำที่ไม่สนใจว่าคนอื่นน้อยใจเขาหรือไม่ นี่จึงนับว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แปลกประหลาดตั้งแต่มาเรียนที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก
แต่ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า คือการที่ชายหนุ่มหน้าตาหยิ่งๆ ชวนเป็นศัตรูมากกว่าเป็นมิตรคนนั้นเดินเข้าไปปลอบ น้ำเสียงทอดอ่อนลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเห็นใช้กับผู้หญิง... แต่ใช้กับม้า
“ฉันบอกเหตุผลไปแล้ว แกได้ฟังฉันหรือเปล่า”
สตอร์มทำเสียงพ่นลมฮึดฮัดออกจากจมูกหนึ่งทีเป็นคำตอบ
“อย่าดื้อกับฉัน” คีนาร์ดเอ็ดด้วยสีหน้าดุขึ้นเมื่อม้าของตนแสดงกิริยาไม่น่ารักใส่ เขาเป็นแบบนี้มาตลอด เป็นคนที่ง้อใครไม่ได้นาน และครั้งนี้ถูกนับเป็นการง้อแล้ว “แกก็รู้ว่าฉันไม่เปลี่ยนใจ”
“เฮ้”
เสียงทักดังจากมุมหนึ่งของคอกสัตว์เลี้ยงทำให้บทสนทนากับม้าหยุดชะงัก ดวงตาสีจางของเจ้าชายทริสทอร์ตวัดไปมองหาต้นเสียงคุ้นเคย รู้ว่าเป็นใครตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว
ฟาซาล ดิวซ์ นักล่าแห่งสกอร์ปิโอยืนยิ้มกอดอกอยู่ไม่ไกล ดูจากท่าทางเจ้าตัวน่าจะเพิ่งพาม้าตัวเองกลับเข้าคอก สมาชิกป้อมอัศวินปีห้าคนนี้อายุพอๆ กับเขา… และไม่รู้ว่าจับพลัดจับผลูอย่างไรถึงได้พูดคุยกันจนสนิทกันไม่น้อย ทั้งที่ในเวลาเรียนแทบไม่ได้เจอกันเลย
ส่วนตัวของคีนาร์ดคิดว่าฟาซาล ดิวซ์ มีบางอย่างคล้ายคลึงกับเขา ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้คิดค้นหาว่าส่วนไหน แต่มันคงทำให้รู้สึกว่าเข้ากันได้มากกว่าคนอื่น
ดวงตาสีทองคู่แปลกของคนที่ยืนยิ้มมีแววระริกขณะกล่าว “ฉันพาม้าไปขี่เล่นแก้เบื่อ ไม่คิดว่าจะกลับมาทันได้เห็นนายมุมนี้ คีนาร์ด”
เจ้าของชื่อไหวไหล่หนึ่งทีอย่างที่มักจะทำ ฟาซาลเหลือบมองไปทางม้าสีขาวเทาเปรอะๆ ของอีกฝ่ายที่ยังกึ่งๆ หันก้นใส่เจ้านายแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้ากึ่งอึ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะขำในไม่ช้า
“นั่นม้านายงั้นเหรอ”
“ใช่” เจ้าชายคนที่หน้าบึ้งเป็นประจำตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก แนะนำแค่สั้นๆ “ชื่อสตอร์ม”
“ม้าลายเปื้อนแปลกดี ไม่ค่อยเห็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิยมม้าสีแบบนี้ แต่ก็ดูสมเป็นนาย?” ฟาซาลว่ายิ้มๆ “แล้วท่าทางนั่น...”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้คีนาร์ดเหลือบมองม้าสาวของตัวเอง มันหันมามองฟาซาลเหมือนอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ก็ยังทำเมินไม่มองหน้าคีนาร์ดตรงๆ ท่าทางนั้นทำให้เขากลอกตา
“มันหงุดหงิดที่ฉันไม่เอามันลงหมากกระดานเกียรติยศ… ก็ช่วยไม่ได้ กับตำแหน่งที่เขาจัดมา ฉันว่าจะเอามังกรลงสนาม”
คีนาร์ดถูกเพื่อนร่วมชั้นปีสองจัดลงตำแหน่ง ‘ควีน’ ของหอปราการปราชญ์ในหมากกระดานเกียรติยศปีนี้ หมากควีนเป็นหมากอันตรายและเป็นหมากที่เรื่องมาก ส่วนตัวเขาไม่อยากเอาสัตว์ไปด้วยเท่าไหร่ แต่เพราะลงตำแหน่งที่เป็นเป้าสายตาขนาดนี้จึงเหมือนถูกชักนำกลายๆ ให้ต้องลงสนามอย่างเต็มยศซึ่งเขาขี้เกียจเถียง
เขาเองคิดว่าจะเอาม้าหรือมังกรไปก็ไม่ต่างเพราะเขาพึ่งฝีมือตัวเองมากกว่าอยู่แล้ว ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเอาสัตว์ลงสนามจะช่วยต่อสู้หรือไม่ช่วยอะไรเลยกันแน่ แต่มังกรข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าม้า… ถ้าโชคดีเจอคนขวัญอ่อน ก็เผื่อจะไม่ต้องออกแรงให้เปลือง
“ถ้าเอามังกรไปแทน แล้วนายเจ็บตัวน้อยกว่าฉันก็ว่าดี แต่ถ้าใช้ที่นายถนัดแล้วก็เชื่อใจได้ ฉันก็ว่าดีเหมือนกัน” ฟาซาลแสดงความคิดเห็นอย่างก้ำกึ่งกำกวม สีหน้ากวน ทำให้คีนาร์ดกระตุกยิ้มมุมปากที่ดูร้ายพิกล
"เป็นห่วงฉันงั้นหรือฟาซาล"
เจ้าตัวรู้ดีว่ารอยยิ้มแบบนี้ของเขาทำให้คนหมั่นไส้มานักต่อนัก แต่ตอนนี้เขานึกสนุกและรู้สึกอยากกวนประสาทคนฟังจึงแจกจ่ายมันออกมา ฟาซาลมองท่าทางของเจ้าชายแล้วก็ถอนใจ ยิ้มอ่อน
“ฉันพูดให้ม้านายฟัง จะได้ไม่งอนที่นายไม่ไปพึ่งพา แต่ฉันว่าเลือกวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่าดีที่สุด เจ็บก็คือเจ็บ”
"นายลงตำแหน่งอะไร?” ประโยคบอกเล่าที่เหมือนแสดงประสบการณ์เจ็บตัวคาสนามเป็นประจำของอีกฝ่ายทำให้คีนาร์ดย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เดาในใจจากหน่วยก้านและฝีมือคิดว่าถ้าไม่ลงเบี้ยก็คงลงเรือ สักพักเขาก็พูดต่อโดยไม่รอคำตอบ "ส่วนม้าฉันน่ะเข้าใจฉันดี ว่าฉันไม่อยากให้มันเจ็บตัว ไม่ได้เด็กๆ แล้ว เกิดหัวใจวายคาสนามฉันต้องหาม้าใหม่มาฝึก ยุ่ง"
พูดถึงตรงนี้สตอร์มวัยสิบปีที่ฟังมาตลอดก็หันมาร้องฮี้ใส่หน้าเจ้าของ ลืมที่ทำเป็นเมินกันเมื่อกี๊เสียสนิทเพราะประโยคปรามาสใหม่แสลงหู คีนาร์ดทำเสียงหัวเราะหึในลำคอเบาๆ
ฟาซาลเงียบไปเล็กน้อยกับประโยคคำถามของอีกคน “เบี้ย” ตอบแล้วก็เลิกคิ้วมองคนหน้าบึ้ง ขำแบบแฝงความเอ็นดูลึกๆ “นายก็แค่บอกมาว่าห่วงมันก็แค่นั้น ไม่ใช่หรือไง?”
คีนาร์ดมองคนส่งเสียงหัวเราะเหมือนเอ็นดูด้วยสายตาว่างเปล่า ใจหนึ่งก็ผรุสวาทอย่างนึกเกลียด เขาไม่เคยชินและไม่คิดว่าตัวเองเหมาะกับการถูกเอ็นดูจากใครโดยเฉพาะจากคนอายุน้อยกว่า แต่สักพักแววตาคู่สีจางก็เปลี่ยนอารมณ์ มือขาวยื่นไปตบคอม้าที่ยังงอนไม่เลิกเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ฟังดูแห้งแล้งไร้ความเป็นมิตร
"อืม... ก็ห่วง ฉันเลี้ยงมันมากับมือ นิสัยเสียเหมือนกัน อยู่บนสนามถ้าจะบ้าบิ่นพอกันฉันอาจจะคุมไม่ไหว" ท้ายประโยคยังอุตส่าห์แขวะสตอร์มเล็กน้อยคล้ายอดไม่ได้ ถึงอย่างนั้นท่าทางของม้าที่ได้ยินคำว่าเป็นห่วงจากปากเจ้านายก็อ่อนลง ยอมให้ลูบหัวปุๆ โดยไม่สะบัดหัวหนีหรือหันบั้นท้ายใหญ่ๆ ใส่หน้าเจ้าชายอีก
คนเป็นนักล่าเอียงคอเล็กน้อยอย่างนึกสงสัยในความสัมพันธ์ของเพื่อนตนกับสัตว์พาหนะ และนึกสงสัยในสิ่งที่อีกคนพูด เขาเหลือบมองม้าสาวของอีกฝ่ายไวๆ แล้วหันกลับไปมองคีนาร์ด แววตาครุ่นคิด “แปลว่ามีโอกาสที่นายจะบ้าจนคุมตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน?”
คีนาร์ดฟังคำนั้นแล้วก็กระตุกยิ้มสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกสนุกอยู่ในที
"ฉันไม่พลาดเรื่องสนุก ถ้ามันสนุก" เขาตอบ "โอกาสก็คือโอกาส ไม่ใช่คำว่าใช่ ไม่ใช่คำว่าไม่... ถ้าว่างก็มาดูนัดปีสองแข่งก็แล้วกัน"
ถ้าเสด็จแม่รู้ว่าเขาออกจากวังเพื่อมาทำงานกวาดขี้ม้าในฟาร์มเก่าๆ สับปะรังเค เจ้าหล่อนคงส่งคนมารับตัวเขากลับวังในวันสองวันนี้
แต่ตอนนี้เขาคือคีนาร์ด แอลลิส ไม่ใช่คีนาร์ด ราล์สเตน… ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องบอกเรื่องนี้กับใคร อีกอย่างตอนที่ขอเสด็จลุงออกมาข้างนอก เขาก็ไม่เคยหวังว่าจะต้องกินอยู่อย่างสบาย
ดวงตาสีฟ้าซีดติดจะเย็นชาของเจ้าตัวไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิดใดๆ ที่ต้องทำงานกับของโสมม สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนสักนิดตอนปัดฝูงแมลงวันย่อมๆ ที่บินว่อนข้ามหัวไปมา เด็กชายเคยถูกเจ้าของฟาร์มม้าวิจารณ์กึ่งปรามาสว่าท่าทางเขาดู ‘หยิ่งเกินวัย วอนหาเรื่อง’ เพราะใบหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึกอ่านยากทั้งที่อายุคราวหลาน ผิวขาวซีดเหมือนคนไม่เคยทำงานผิดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน แถมด้วยออร่าที่แผ่จางๆ ออกมาว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่ยอมให้ ‘กด’ ได้ง่ายๆ จนเจ้าของฟาร์มม้าไม่รู้ว่าเขาจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อสักแค่ไหน ที่จริงถ้าเอะใจสักหน่อย คนมองอาจจะเห็นรอยตราปั๊มว่า ‘เลือดสีน้ำเงิน’ แปะหราอยู่บนหน้าผาก
...ถือเป็นเรื่องดีที่คนชนบทห่างไกลแถวนี้ไม่เคยชินกับเชื้อพระวงศ์ปลอมตัว คีนาร์ด แอลลิสจึงเป็นได้แค่เด็กหยิ่งเกินวัยธรรมดาในสายตาคนทำงานฟาร์ม
ไม่รู้ว่าเขาคนนี้ทำให้เจ้านายผิดคาดสักแค่ไหน แต่เกือบปีที่ผ่านมา ถ้ามองข้ามเรื่องหน้าตาไม่รับแขกสักหน่อยแล้วไปตัดสินด้านการใช้ชีวิต คีนาร์ด แอลลิสปรับตัวอยู่กับความไม่สะดวกสบายได้เร็วและง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ เด็กชายไม่ใช่คนเกี่ยงงาน ไม่เหยาะแหยะ ไม่บ่น ก้มหน้าก้มตาทำงานห่างไกลกับคำว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออยู่หลายโยชน์
เป็นคีนาร์ดเองที่เลือกเริ่มต้นทำงานที่ฟาร์มม้าห่างไกลแถมค่าตอบแทนน้อยนิด เขาพอใจกับที่ที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือราชนิกูล จะมีก็แต่ผู้ติดตามข้างๆ ที่ได้รับการยกระดับเป็นเพื่อน เควนตัส... รายนั้นเข้ากับคนอื่นได้ดี แต่ต้องมารับเคราะห์ร่วมกับเขาหลายครั้ง เพราะเขามักจะถูกหมั่นไส้ หมอนั่นโดนคำปฏิญาณว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกเจ้าชายค้ำคอ เลยไม่อาจปล่อยให้เขาโดนหมั่นไส้คนเดียว
ช่วยไม่ได้ ก็ตามเขาออกจากวังมาตั้งแต่แรกทำไม
ในเมื่อเจ้านายจะกวาดขี้ม้า ดมขี้ม้า... คนติดตามก็ต้องกวาดขี้ม้า ดมขี้ม้า
“เสียงใครโวยวาย”
เด็กชายคีนาร์ด แอลลิสเปรยถามหลังจากล้างน้ำถูคราบสกปรกและกลิ่นสาบอุจจาระม้าออกจากตัว มือเล็กที่กร้านแดดกว่าเดิมเล็กน้อยคว้าผ้าขนหนูสะอาดเก่าๆ แถวนั้นมาเช็ดหน้า ร่างผอมชะเง้อมองข้ามช่องประตูของห้องน้ำ ท่าทางของเขาทำให้เควนตัสต้องมองตาม
“ลูกค้าจากแอเรียส ที่บอกว่าจะเข้ามาซื้อม้ากับเจ้านายตั้งแต่อาทิตย์ก่อนไงฝ่าบาท”
เควนตัสเล่าขณะปัดปอยผมเปียกๆ สีน้ำตาลไปให้พ้นตา เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคีนาร์ดแต่ตัวเตี้ยและดูมีกล้ามเนื้อกว่า ทั้งที่ออกมาจากวังร่วมปีแล้วแต่ก็ยังเผลอเรียกอีกฝ่ายว่าฝ่าบาทด้วยความเคยชิน “เห็นว่าจะเหมาลูกม้าใหม่ยกคอก แต่ฟังดูจากที่โวยวาย… ท่าจะมีปัญหาซะล่ะมั้ง”
คนเป็นเจ้าชายแสดงสีหน้าครุ่นคิด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่า ‘ไปดูกัน’
ที่กลางฟาร์ม ภาพชายวัยกลางคนผมสีดอกเลากำลังต่อรองยื่นคำขาดฉายชัด
“ถ้าจะซื้อก็ซื้อไปทั้งหมดเลยเจ็ดตัว ผมจะขายตัวนี้ด้วย”
“แต่ฉันไม่ต้องการของมีตำหนิ”
ชายร่างท้วมที่ใส่ชุดผ้าแพรดูมีราคาปฏิเสธด้วยสีหน้ามีอารมณ์ กวาดตาเล็กหยีไปทางคอกลูกม้า สะบัดมือว่าหย็อยๆ “ฉันเป็นคนจ่ายเงิน ฉันต้องได้อย่างที่ต้องการ ไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่ซื้อสักตัว ให้มันรู้ไปว่าฉันจะหาฟาร์มม้าอื่นที่เจ้าของพูดจารู้เรื่องกว่านี้ไม่ได้”
คีนาร์ดที่ยืนกึ่งหลบอยู่หลังกำแพงไม้ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะประมวลถ้อยคำที่ได้ยินจากทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมาเขาในฐานะเด็กใหม่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาดูแลคอกม้าอายุน้อย จึงไม่ทราบเรื่องราวมาก่อน ดวงตาสีจางของเด็กชายมองตามสายตาลูกค้าชาวแอเรียสไป แล้วเขาก็เห็นเจ้าลูกม้าตัวปัญหาที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในทันที
ในขณะที่ม้าสีขาวและเทาปลอดตัวอื่นยื่นหน้ามองชายร่างท้วมพันผ้าแพรสีสดอย่างสนใจ ลูกม้าผอมขี้ก้างตัวหนึ่งกลับกำลังยืนสั่นๆ อยู่ที่ขอบรั้ว ขาเล็กสี่ข้างกางเล็กน้อยคล้ายพยายามทรงตัวแต่ไม่มีแรง มันเดินทุลักทุเลเก้ๆ กังๆ ไม่คล่องแคล่ว สักพักก็เป๋ล้ม กว่าจะยันตัวกลับมายืนได้ก็นานสองนาน แถมลำตัวของมันยังเป็นสีเทาหม่นสลับหย่อมขาวประปราย ดูเปรอะเปื้อนไม่สวยสะอาดตา เทียบกับลูกม้าตัวอื่นที่ก็นับว่าเป็นม้าเกรดบีอยู่แล้วเพราะที่นี่เป็นฟาร์มชนบทขนาดเล็ก ไม่ได้กวดขันเรื่องพันธุ์บริสุทธิ์นัก เจ้าม้าตัวนี้ก็คงเป็นเกรดดี
เจ้าของฟาร์มคงคิดไม่ต่างจากเขา รู้ว่าถ้าไม่ขายมันไปกับพี่น้องพร้อมกันในตอนนี้คงไม่มีวันขายมันออกอีก เลยยังทู่ซี้ “ผมลดให้คุณครึ่งราคาเลยเอ้า ถ้าไม่อยากเอาไปใช้งาน เอาไปแล่ ใช้เนื้อใช้หนังก็ยังได้”
“หนังลายพร้อยแบบนี้เอาไปขายก็ไม่ได้ราคา แล้วกว่าจะแล่มันได้ ฉันต้องเสียข้าวสุกเลี้ยงมันอีกกี่ปี หา?” ลูกค้าชาวแอเรียสไม่ยอม ดวงตาถลึงอย่างกินเลือดกินเนื้อ “ฉันซื้อแค่หกตัว ส่วนเจ้านี่ ถ้าคิดว่าแล่ใช้เนื้อใช้หนังได้ก็เก็บไว้ทำเองแล้วกัน”
ประโยคนั้นเป็นจริงจนปฏิเสธยาก เท่าที่ฟังมาแค่เลี้ยงม้าตัวนี้ให้เติบใหญ่ยังไม่รู้จะขาดทุนหรือเปล่าด้วยซ้ำ สุดท้ายชายเจ้าของฟาร์มก็ยอมจำนน รับเงินก้อนพร้อมกับส่งลูกม้าหกตัวขึ้นเกวียนของอีกฝ่ายไป
ดวงตาคู่สีซีดยังมองเจ้าลูกม้าลายพร้อยตัวนั้นอยู่นาน จนเกวียนเล่มนั้นแล่นปุเลงๆ หายลับไปจากสายตา คีนาร์ด แอลลิส เด็กเลี้ยงม้าในวัยสิบเอ็ดปีถึงเดินออกมาจากหลังกำแพง ตรงไปหาเจ้านายคนปัจจุบันของตนอย่างอาจหาญ อะไรบางอย่างทำให้เขาเอ่ยปาก ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเอาความหงุดหงิดไปลงที่เจ้าม้าน้อยเกรดดี
“ฝ่าบาท”
เจ้าชายคีนาร์ด ราล์สเตนแห่งทริสทอร์หันตามเสียงเรียก ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีดึงบังเหียนม้าคู่ใจให้ลดความเร็วจากควบวิ่งเป็นเดินเหยาะๆ มันเดินวนไปมาที่ลานหน้าปราสาทก่อนจะหยุดยืนอย่างสง่า
ใบหน้าที่ไร้อารมณ์เป็นนิจเผยรอยยิ้มหายากเพียงเล็กน้อย เขาเอื้อมมือไปตบแผงคอพาหนะของตนอย่างสนิทสนม แล้วค่อยเหวี่ยงตัวลงมายืนที่พื้น มือกร้านคว้าเอากระต่ายสองสามตัวที่ได้จากการล่าสัตว์ลงมาด้วย
“ฝากที” เขายื่นกระต่ายให้กับคนรับใช้ที่ยืนรออยู่แล้ว ก่อนจะถอดถุงมือมาถือไว้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ม้าอีกตัวควบตามมาข้างๆ เสียงดังกลั้วหัวเราะประกาศพร้อมกับที่เจ้าตัวกระโดดลงจากหลังม้า
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้สามตัว” เควนตัส ชายร่างหนาใหญ่เจ้าของผมสีน้ำตาลยาวยกกระต่ายโชคร้ายสามตัวขึ้นอวดเหมือนจะเกทับ แววตาขี้เล่นเป็นประกายระริก “ต้องชมม้าของกระหม่อม มันตามกลิ่นกระต่ายได้เก่งอย่าบอกใครเชียว”
“ม้าจมูกไวกับคนจมูกไม่ได้เรื่องอย่างนายก็ฟังดูเข้ากันดี” คนถูกเกทับกล่าวด้วยใบหน้าเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน และนั่นเรียกเสียงหัวเราะอีกระลอกจากบุรุษร่างใหญ่ได้
มีไม่กี่คนที่กล้าพูดจาเล่นสนุกกับเจ้าชายคีนาร์ดที่แสนจะไม่เป็นมิตร หนึ่งในนั้นคือเควนตัส… คนติดตามเจ้าชายตั้งแต่ออกไปเร่ร่อนใหม่ๆ ควบตำแหน่งเพื่อนซี้ ถึงแม้ว่าหลังจากที่คีนาร์ดผันตัวจากช่างทำอาวุธไปเป็นนักล่าแล้วเขาจะถูกไล่กลับวัง (เรียกให้ถูกคือคีนาร์ดฉวยโอกาสควบม้าหนี ทิ้งเขาไว้กลางทาง) แต่เควนตัสก็สนิทกับเจ้าชายมากพอที่จะไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์เหินห่างไป
เควนตัสจำได้ว่าเขาเคยคิดว่าคีนาร์ดเสพติดความสนุกของโลกภายนอกอย่างที่หาในวังไม่ได้จนจะไม่กลับมาอีกแล้ว พอเห็นประกาศเรียกตัวราชนิกูลกลับวังเมื่อปีก่อนแล้วเพื่อนของเขาปรากฎตัวจึงทั้งโล่งใจทั้งแปลกใจ
อีกอย่างที่ทำให้แปลกใจไม่น้อยไปกว่ากัน คือหลังจากผ่านไปหลายปี เจ้าชายแห่งทริสทอร์คนนี้กลับวังทริสทอร์มาพร้อมกับเจ้าม้าตัวเดิม
...ลูกม้าเกรดดีที่น่าจะถูกเชือดทิ้ง ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กเลี้ยงม้าปลอมๆ ในตอนโน้นซื้อเอาไว้
“ว่าไง สตอร์ม”
เควนตัสเอ่ยทักทายพร้อมยื่นมือลูบแผงคอของม้าทรงเจ้าชาย เจ้าลูกม้าในวันนั้นเติบโตขึ้นมาเป็นม้าสาวท่วงท่าสง่า กล้ามเนื้อสวยหนาใช้ได้ ดูแข็งแรงผิดกับตอนเล็กๆ ที่เห็นว่าแค่จะวิ่งยังลำบาก ถึงมันจะไม่ได้สูงใหญ่แรงเยอะอย่างม้าแข่งแต่ก็นับว่ามาไกลมาก ขนสีเทาสลับขาวที่ดูเปรอะเปื้อนตามตัวถูกคนทั่วไปมองว่าไม่สะสวย ไม่แพงสมฐานะเป็นม้าของเจ้าชาย แต่ดูไปดูมาเขาก็ว่าเป็นศิลปะที่แปลกตาและมีเอกลักษณ์ดี โดดเด่นอย่างที่เห็นก็รู้ว่าใช่ม้าของคีนาร์ดแน่
เจ้าม้าสาวส่งเสียงพร้อมขยับคอทักทายเขาอย่างเป็นกันเอง เควนตัสหัวเราะหึแล้วหยิบแครอทจากย่ามออกมาป้อนมัน ขณะที่เจ้าของม้ายืนมองเขาเลี้ยงม้าตนอย่างสงบ
ถ้าไม่ใช่เพราะมีคีนาร์ดเป็นเจ้าของ เขาไม่แน่ใจว่า ‘สตอร์ม’ จะมีวันนี้… เควนตัสนึก
จำได้ว่าวันที่เด็กชายเดินออกไปประกาศกับเจ้าของฟาร์มม้าเก่าๆ ว่าจะซื้อลูกม้าท่าทางขี้โรค พวกเขาถูกหัวเราะเยาะแทบตาย เงินเดือนตอบแทนค่ากวาดคอกและเลี้ยงม้าอันน้อยนิดถูกเจียดจ่ายไปเพราะเจ้าชายของเขาไม่ยอมใช้เงินที่ได้ติดตัวออกมาจากวัง แต่คีนาร์ด แอลลิสทำให้เห็นว่าเขาสามารถฝึกเจ้าม้าสีเทาด่างเหมือนพายุพิโรธตัวนี้ให้ใช้งานได้คุ้มทุกบาททุกสตางค์ที่เสียไป
เจ้าชายคนที่แสนเย็นชาดูแลม้าของตนตั้งแต่เล็กจนโต หาอาหารแล้วป้อนให้กับมือ กวดขันวินัยการกินการขับถ่าย พาเจ้าสตอร์มวิ่งเช้าวิ่งเย็น เดินทางข้ามประเทศไปทั่วเอเดน เพื่อจะค้นพบว่าที่จริงแล้วสตอร์มไม่ได้พิการหรือมีโรคติดตัวใดๆ เพียงแค่พัฒนาช้ากว่าและต้องการการเอาใจใส่มากกว่าม้าตัวอื่น เควนตัสเคยถามคีนาร์ดว่าที่ซื้อมันมาเป็นเพราะสงสาร ไม่อยากให้มันถูกเชือดทิ้งไปทำพรมเช็ดเท้าใช่หรือไม่ แต่เจ้าชายของเขาปฏิเสธ
‘มีไม่เท่าคนอื่น ก็ต้องฝึกให้มากกว่าคนอื่น’ คีนาร์ดเคยพูดไว้ สีหน้าเฉยชาอ่านยากไม่เคยเปลี่ยน ‘ให้มันได้พิสูจน์ตัวเองก่อน แล้วค่อยตัดสิน’
สตอร์มเป็นม้าที่ดี แถมยังเป็นม้าที่รู้ใจและเข้ากับเจ้านายได้ดีจนน่าแปลก คนรับใช้ที่วังรวมถึงเจ้าหญิงมีอา ราล์สเตนผู้เป็นมารดาเคยเสนอม้าตัวอื่นที่สูงใหญ่กว่า สีสวยสง่ากว่า วิ่งเร็วกว่าให้คีนาร์ด เขาจะได้เอาไปใช้เป็นหน้าเป็นตาแทนเจ้าม้าสาวที่ดูไม่แพงเท่าตัวนี้ แต่ที่ผ่านมาเจ้าชายไม่เคยเลือกม้าตัวไหนมาแทนสตอร์ม เพราะเขาไม่ได้สนใจจะใช้ม้าที่ดีที่สุดเพื่อเอาชนะคนอื่น
สตอร์มเป็นสัญลักษณ์ของความพากเพียรและเอาใจใส่ คือเพื่อนตายในยามยาก คือชัยชนะในตัวเองวันละเล็กวันละน้อยของเด็กชายที่ออกไปเร่ร่อนนอกวังคนนั้น ถึงคีนาร์ดจะไม่ใช่คนที่ชอบแสดงความรู้สึกจนดูเหมือนไม่ได้ผูกพันอะไรมากมาย แต่เควนตัสเข้าใจดี
...นี่คือม้าทรงที่เจ้าชายภูมิใจ
“อย่าให้มันกินแครอทมากนัก ฉันเพิ่งป้อนแครอทไปเมื่อเช้า” คีนาร์ดกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติ เอื้อมมือจูงสตอร์มเดินกลับเข้าคอกม้าในวังอย่างไม่รีบร้อน ไม่ได้สนใจคนรับใช้ที่เดินถือกระต่ายตามมา “นี่จะเอาเนื้อไปย่างหรือทำสตูว์?”
“แล้วแต่ฝ่าบาทสิ” เควนตัสพูดปนหัวเราะ จูงม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลปลอดของตัวเองเคียงกันไปด้วย “ห้าตัวก็พอกินได้หลายคนอยู่หรอก”
“ฉันไม่ได้จะกินด้วย เควนตัส” เจ้าชายทริสทอร์เอ่ยเรียบๆ เหมือนจะบอกว่าแค่อยากรู้จึงถาม คนฟังทำตาโตใส่ “ฉันแค่อยากพาสตอร์มไปออกกำลังกาย กระต่ายสองตัวนั่นฉันยกให้”
“กระหม่อมผิดหวังนะฝ่าบาท นึกว่าจะมีเพื่อนทานสตูว์อร่อยๆ”
“ยังไม่ชิน?” คีนาร์ด ราล์สเตนเลิกคิ้วเล็กน้อย รู้ว่าคนพูดแค่หยอกเล่นเพราะเควนตัสนั้นยิ้มเผล่ที่ได้กระต่ายอีกสองตัวมาเป็นลาภปาก
“จะชินถ้าฝ่าบาทประทานกระต่ายให้กระหม่อมหลังจากนี้บ่อยๆ” เควนตัสแหย่ ได้ผลตอบรับเป็นการกลอกตาหนึ่งทีจากเจ้าชาย
“ฉันมีงานต้องทำ ไว้วันไหนจะไปล่าสัตว์อีก… เรียกก็แล้วกัน”
“ว้า มาไวไปไวเสียจริง ฝ่าบาท” เควนตัสพูดขณะถอดบังเหียนลงจากตัวม้าไปเก็บ พร้อมๆ กับที่เจ้าชายพาอาชาสาวของตัวเองเข้าคอกหลวง ผู้ดูแลคอกรีบส่งเด็กกุลีกุจอเข้ามาช่วยปลดอุปกรณ์ตามตัวสัตว์พาหนะทั้งสอง กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้เควนตัสอดนึกถึงตอนเร่ร่อนใหม่ๆ ที่ต้องกวาดขี้กวาดเยี่ยวม้าไม่ได้
“คิดถึงช่วงที่ฟาร์มม้านะฝ่าบาท สกปรกดี”
“อืม...” คนถูกชวนคุยทำเสียงในลำคอ ไพล่นึกกลับไปถึงช่วงหกปีก่อน เหลือบมองตาเควนตัสเหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร “จะไม่มีภาพแบบนั้นอีก เพราะฉันสอนให้ม้าของฉันขับถ่ายแบบมีมารยาท แต่ถ้านายคิดถึงมากจนอยากทำความสะอาดคอกม้าหลวงเมื่อไหร่ก็ขอให้บอก”
เควนตัสหัวเราะดัง เย้ากวนๆ “ฝ่าบาทกวาดคอกม้าเก่งกว่ากระหม่อม”
“ตอนนี้ฉันไม่นับเป็นคู่แข่งของนายแล้วนี่” คีนาร์ดกระตุกมุมปากขึ้นเหมือนเยาะ พูดอีกก็ถูกอีก… ถึงตอนนี้ใครจะกล้าเรียกใช้เจ้าชายมากวาดขี้ม้า ดมขี้ม้า… ในเมื่อเขาคือคีนาร์ด ราล์สเตน ไม่ใช่คีนาร์ด แอลลิส เด็กเลี้ยงม้าวัยสิบเอ็ดปีอีกต่อไปแล้ว
เควนตัสฟังแล้วก็ไหวไหล่เป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้
“ฉันไปก่อน ขอบใจที่ชวน”
เอ่ยลาเพียงสั้นๆ แล้วเจ้าชายคีนาร์ดวัยสิบเจ็ดปีก็เอื้อมมือกอดคอม้าทรงของตนหลวมๆ แล้วพึมพำ “ขอบใจ สตอร์ม… ไว้เจอกัน”
“แกไม่มีสิทธิ์มางอนฉัน สตอร์ม”
ภาพคีนาร์ด ราล์สเตนถูกสัตว์พาหนะของตนเองเมินทั้งดูไม่น่าเชื่อ น่าขันและน่าอดสูไปพร้อมๆ กัน ม้าทรงสาวสีเทาเปรอะทำเสียงพ่นลมแล้วหันหน้าหนี มีที่ไหนกันที่เดินเข้าคอกม้าโรงเรียนเอง แถมหันบั้นท้ายใหญ่ใส่เจ้าของ
เจ้าชายคีนาร์ดแห่งทริสทอร์วัยยี่สิบเอ็ดปีไม่เคยชินกับการถูกเมิน ส่วนใหญ่เป็นเขาเองด้วยซ้ำที่ไม่สนใจว่าคนอื่นน้อยใจเขาหรือไม่ นี่จึงนับว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์แปลกประหลาดตั้งแต่มาเรียนที่โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก
แต่ที่แปลกประหลาดยิ่งกว่า คือการที่ชายหนุ่มหน้าตาหยิ่งๆ ชวนเป็นศัตรูมากกว่าเป็นมิตรคนนั้นเดินเข้าไปปลอบ น้ำเสียงทอดอ่อนลงเล็กน้อยอย่างที่ไม่เคยเห็นใช้กับผู้หญิง... แต่ใช้กับม้า
“ฉันบอกเหตุผลไปแล้ว แกได้ฟังฉันหรือเปล่า”
สตอร์มทำเสียงพ่นลมฮึดฮัดออกจากจมูกหนึ่งทีเป็นคำตอบ
“อย่าดื้อกับฉัน” คีนาร์ดเอ็ดด้วยสีหน้าดุขึ้นเมื่อม้าของตนแสดงกิริยาไม่น่ารักใส่ เขาเป็นแบบนี้มาตลอด เป็นคนที่ง้อใครไม่ได้นาน และครั้งนี้ถูกนับเป็นการง้อแล้ว “แกก็รู้ว่าฉันไม่เปลี่ยนใจ”
“เฮ้”
เสียงทักดังจากมุมหนึ่งของคอกสัตว์เลี้ยงทำให้บทสนทนากับม้าหยุดชะงัก ดวงตาสีจางของเจ้าชายทริสทอร์ตวัดไปมองหาต้นเสียงคุ้นเคย รู้ว่าเป็นใครตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว
ฟาซาล ดิวซ์ นักล่าแห่งสกอร์ปิโอยืนยิ้มกอดอกอยู่ไม่ไกล ดูจากท่าทางเจ้าตัวน่าจะเพิ่งพาม้าตัวเองกลับเข้าคอก สมาชิกป้อมอัศวินปีห้าคนนี้อายุพอๆ กับเขา… และไม่รู้ว่าจับพลัดจับผลูอย่างไรถึงได้พูดคุยกันจนสนิทกันไม่น้อย ทั้งที่ในเวลาเรียนแทบไม่ได้เจอกันเลย
ส่วนตัวของคีนาร์ดคิดว่าฟาซาล ดิวซ์ มีบางอย่างคล้ายคลึงกับเขา ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้คิดค้นหาว่าส่วนไหน แต่มันคงทำให้รู้สึกว่าเข้ากันได้มากกว่าคนอื่น
ดวงตาสีทองคู่แปลกของคนที่ยืนยิ้มมีแววระริกขณะกล่าว “ฉันพาม้าไปขี่เล่นแก้เบื่อ ไม่คิดว่าจะกลับมาทันได้เห็นนายมุมนี้ คีนาร์ด”
เจ้าของชื่อไหวไหล่หนึ่งทีอย่างที่มักจะทำ ฟาซาลเหลือบมองไปทางม้าสีขาวเทาเปรอะๆ ของอีกฝ่ายที่ยังกึ่งๆ หันก้นใส่เจ้านายแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้ากึ่งอึ้ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะขำในไม่ช้า
“นั่นม้านายงั้นเหรอ”
“ใช่” เจ้าชายคนที่หน้าบึ้งเป็นประจำตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก แนะนำแค่สั้นๆ “ชื่อสตอร์ม”
“ม้าลายเปื้อนแปลกดี ไม่ค่อยเห็นเจ้าหญิงเจ้าชายนิยมม้าสีแบบนี้ แต่ก็ดูสมเป็นนาย?” ฟาซาลว่ายิ้มๆ “แล้วท่าทางนั่น...”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้คีนาร์ดเหลือบมองม้าสาวของตัวเอง มันหันมามองฟาซาลเหมือนอยากรู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ก็ยังทำเมินไม่มองหน้าคีนาร์ดตรงๆ ท่าทางนั้นทำให้เขากลอกตา
“มันหงุดหงิดที่ฉันไม่เอามันลงหมากกระดานเกียรติยศ… ก็ช่วยไม่ได้ กับตำแหน่งที่เขาจัดมา ฉันว่าจะเอามังกรลงสนาม”
คีนาร์ดถูกเพื่อนร่วมชั้นปีสองจัดลงตำแหน่ง ‘ควีน’ ของหอปราการปราชญ์ในหมากกระดานเกียรติยศปีนี้ หมากควีนเป็นหมากอันตรายและเป็นหมากที่เรื่องมาก ส่วนตัวเขาไม่อยากเอาสัตว์ไปด้วยเท่าไหร่ แต่เพราะลงตำแหน่งที่เป็นเป้าสายตาขนาดนี้จึงเหมือนถูกชักนำกลายๆ ให้ต้องลงสนามอย่างเต็มยศซึ่งเขาขี้เกียจเถียง
เขาเองคิดว่าจะเอาม้าหรือมังกรไปก็ไม่ต่างเพราะเขาพึ่งฝีมือตัวเองมากกว่าอยู่แล้ว ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเอาสัตว์ลงสนามจะช่วยต่อสู้หรือไม่ช่วยอะไรเลยกันแน่ แต่มังกรข่มขวัญคู่ต่อสู้ได้ดีกว่าม้า… ถ้าโชคดีเจอคนขวัญอ่อน ก็เผื่อจะไม่ต้องออกแรงให้เปลือง
“ถ้าเอามังกรไปแทน แล้วนายเจ็บตัวน้อยกว่าฉันก็ว่าดี แต่ถ้าใช้ที่นายถนัดแล้วก็เชื่อใจได้ ฉันก็ว่าดีเหมือนกัน” ฟาซาลแสดงความคิดเห็นอย่างก้ำกึ่งกำกวม สีหน้ากวน ทำให้คีนาร์ดกระตุกยิ้มมุมปากที่ดูร้ายพิกล
"เป็นห่วงฉันงั้นหรือฟาซาล"
เจ้าตัวรู้ดีว่ารอยยิ้มแบบนี้ของเขาทำให้คนหมั่นไส้มานักต่อนัก แต่ตอนนี้เขานึกสนุกและรู้สึกอยากกวนประสาทคนฟังจึงแจกจ่ายมันออกมา ฟาซาลมองท่าทางของเจ้าชายแล้วก็ถอนใจ ยิ้มอ่อน
“ฉันพูดให้ม้านายฟัง จะได้ไม่งอนที่นายไม่ไปพึ่งพา แต่ฉันว่าเลือกวิธีที่เจ็บตัวน้อยกว่าดีที่สุด เจ็บก็คือเจ็บ”
"นายลงตำแหน่งอะไร?” ประโยคบอกเล่าที่เหมือนแสดงประสบการณ์เจ็บตัวคาสนามเป็นประจำของอีกฝ่ายทำให้คีนาร์ดย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เดาในใจจากหน่วยก้านและฝีมือคิดว่าถ้าไม่ลงเบี้ยก็คงลงเรือ สักพักเขาก็พูดต่อโดยไม่รอคำตอบ "ส่วนม้าฉันน่ะเข้าใจฉันดี ว่าฉันไม่อยากให้มันเจ็บตัว ไม่ได้เด็กๆ แล้ว เกิดหัวใจวายคาสนามฉันต้องหาม้าใหม่มาฝึก ยุ่ง"
พูดถึงตรงนี้สตอร์มวัยสิบปีที่ฟังมาตลอดก็หันมาร้องฮี้ใส่หน้าเจ้าของ ลืมที่ทำเป็นเมินกันเมื่อกี๊เสียสนิทเพราะประโยคปรามาสใหม่แสลงหู คีนาร์ดทำเสียงหัวเราะหึในลำคอเบาๆ
ฟาซาลเงียบไปเล็กน้อยกับประโยคคำถามของอีกคน “เบี้ย” ตอบแล้วก็เลิกคิ้วมองคนหน้าบึ้ง ขำแบบแฝงความเอ็นดูลึกๆ “นายก็แค่บอกมาว่าห่วงมันก็แค่นั้น ไม่ใช่หรือไง?”
คีนาร์ดมองคนส่งเสียงหัวเราะเหมือนเอ็นดูด้วยสายตาว่างเปล่า ใจหนึ่งก็ผรุสวาทอย่างนึกเกลียด เขาไม่เคยชินและไม่คิดว่าตัวเองเหมาะกับการถูกเอ็นดูจากใครโดยเฉพาะจากคนอายุน้อยกว่า แต่สักพักแววตาคู่สีจางก็เปลี่ยนอารมณ์ มือขาวยื่นไปตบคอม้าที่ยังงอนไม่เลิกเบาๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ฟังดูแห้งแล้งไร้ความเป็นมิตร
"อืม... ก็ห่วง ฉันเลี้ยงมันมากับมือ นิสัยเสียเหมือนกัน อยู่บนสนามถ้าจะบ้าบิ่นพอกันฉันอาจจะคุมไม่ไหว" ท้ายประโยคยังอุตส่าห์แขวะสตอร์มเล็กน้อยคล้ายอดไม่ได้ ถึงอย่างนั้นท่าทางของม้าที่ได้ยินคำว่าเป็นห่วงจากปากเจ้านายก็อ่อนลง ยอมให้ลูบหัวปุๆ โดยไม่สะบัดหัวหนีหรือหันบั้นท้ายใหญ่ๆ ใส่หน้าเจ้าชายอีก
คนเป็นนักล่าเอียงคอเล็กน้อยอย่างนึกสงสัยในความสัมพันธ์ของเพื่อนตนกับสัตว์พาหนะ และนึกสงสัยในสิ่งที่อีกคนพูด เขาเหลือบมองม้าสาวของอีกฝ่ายไวๆ แล้วหันกลับไปมองคีนาร์ด แววตาครุ่นคิด “แปลว่ามีโอกาสที่นายจะบ้าจนคุมตัวเองไม่ไหวเหมือนกัน?”
คีนาร์ดฟังคำนั้นแล้วก็กระตุกยิ้มสูงขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกสนุกอยู่ในที
"ฉันไม่พลาดเรื่องสนุก ถ้ามันสนุก" เขาตอบ "โอกาสก็คือโอกาส ไม่ใช่คำว่าใช่ ไม่ใช่คำว่าไม่... ถ้าว่างก็มาดูนัดปีสองแข่งก็แล้วกัน"
Editor's talk:
- คีนาร์ดเลี้ยงม้าชื่อ สตอร์ม ตั้งแต่ยังเล็ก โดยซื้อมาจากเจ้าของฟาร์มที่ทำงานอยู่ด้วยราคาลดครึ่งหนึ่ง
- สตอร์มเป็นม้าเพศเมีย ลายสีขาว-เทา แผงคอและช่อหางสีดำ ปัจจุบันสตอร์มอายุ 10 ปีเต็ม เทียบกับโลกเรา สตอร์มเป็นม้าพันธุ์ Dapper Grey
ภาพประกอบ สตอร์ม
(เพื่อการจินตนาการที่ง่ายขึ้นค่ะ)
(Reference: http://hdwpics.com/wallpapers/dapple+grey+horse)
- คีนาร์ดมีสัตว์พาหนะเลี้ยงอีก 3 ตัว นำมาที่โรงเรียนพระราชา 2 ตัว โดยทั้งสามเป็นมังกรต่างสายพันธุ์
- อย่างไรก็ตาม สตอร์มเป็นม้าทรงที่คีนาร์ดใช้เรียนในวิชาพาหนะพระราชา
ขอบคุณน้องวิที่ให้ฟาซาลมายืม <3
ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
ช่องทางติดต่อ
Twitter คีนาร์ด: @Kynard_ToB
Twitter ผปค: @maestrolilz